เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ มันเทศกาล เรามีวันหยุดหลายวัน มีวันหยุดหลายวันนะ ทางโลกเขาบอกชาร์จไฟๆ เราไปชาร์จแบตกัน เราไปชาร์จแบตให้ชีวิตเรามีความสดชื่น มีคุณค่า ก่อนจะมา ก่อนจะถึงวันหยุด เตรียมตัวเต็มที่เลย เวลาหยุดแล้วเราหาแต่สิ่งดีๆ สิ่งใดที่ไม่ดี อย่าไปแตะต้อง ถ้ามันไม่แตะต้อง เห็นไหม
เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ หลวงตา เวลาพระออกไปวิเวกกลับมา ท่านถามว่า ไปวิเวกที่ไหนมา ได้อะไรมา ถ้าได้ธรรมวินัยมา ได้ปฏิบัติมา มีสิ่งใดมา ให้มารายงานผล แต่ถ้าไปเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ เวลาไปได้ยาฝิ่นมา ได้ยาเสพติดมา ได้ยาเสพติดมาคือว่าไปคลุกคลีกับญาติโยม ไปคลุกคลีแล้วไม่ได้สิ่งใดเป็นประโยชน์มา ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมานะ ท่านจะซักจะถาม
นี่ก็เหมือนกัน ก่อนจะวันหยุด เราก็จะไปชาร์จแบตกัน เวลาชาร์จแบตกัน เวลาชาร์จแบตขึ้นมา ชาร์จขึ้นมาแล้วมันได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ ถ้าชาร์จแบตมา เสร็จแล้วไปรูดการ์ดมาขนาดไหน เดี๋ยวสิ้นเดือนเขาก็มาหักบัญชี
แต่เรามาวัดมาวาไง มาวัดมาวา เรามาวัดหัวใจของเรา ถ้าวัดหัวใจของเรา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” คือมันเส้นผมบังภูเขา คือธรรมะมันอยู่หลังความคิดเราไง เราคิดไม่ถึงๆ เราคิดไม่ถึงว่ามันจะมีคุณค่า เราคิดไม่ถึงว่าหัวใจเราจะมีประโยชน์ขนาดนี้ เราคิดไม่ถึงว่าจิตนี้มีค่ามหาศาล เราคิดไม่ถึงๆ ไง พอคิดไม่ถึงมันก็อยู่แบบโลกๆ นี่ไง
ทีนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงเปรียบเทียบ เวลาเปรียบเทียบ จิตนี้เหมือนโคถึก เวลามันนอนจมไง มันนอนจมอยู่โคลนตม เวลามันนอนอยู่โคลนตม มันนอนอยู่อย่างนั้น มันแช่น้ำ โคถึกมันแช่น้ำของมัน เพื่ออะไร เพื่อระบายความร้อนของมัน เพื่อความอยู่สุขสบายของมัน
แต่หัวใจของเราถ้ามันคลุกอยู่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันคลุกกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จิตใจของคนมันหมักหมม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เปรียบเทียบ ท่านก็สอนเราไง สอนให้เรามีศีลมีธรรม พอมีศีลมีธรรม เราถือศีลก่อนๆ เวลาถือศีลก่อน ถือศีล เราก็เป็นความปกติ เราเป็นคนปกติ เราจะไปนอนจมบนความโลภ ความโกรธ ความหลงทำไม
ถ้าจะไปนอนจมความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ มันเป็นความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ แล้วความทุกข์ความยากขึ้นมา ท่านเปรียบเทียบ เปรียบเทียบเหมือนบัว ๔ เหล่า บัวอยู่ในน้ำลึกน้ำตื้นก็แล้วแต่ มันต้องมีสายบัวของมัน ถ้าสายบัวของมัน นี่สายบุญสายกรรมของเรา บัวของเราจะพ้นน้ำหรือไม่ พ้นน้ำของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา
เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องมีศีลมีธรรมของเราก่อน ถ้ามีศีลของเรา เราซื่อสัตย์กับเราไง ศีลมันจะเป็นไปได้ต่อเมื่อเรามีสัจจะ ถ้ามีสัจจะขึ้นมา เราถือศีลได้ แต่เราไม่มีสัจจะไง เราอ่อนแอ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เวลาถือศีลทำไมคนอื่นต้องเดือดร้อนไปกับเราหมดเลย เราถือศีลก็เป็นเรื่องของเราไง
เวลาถือศีล เห็นไหม ฉันไม่ฆ่าสัตว์ ไปตลาดนะ คนขายปลามันเห็นคนนี้มา มันทุบหัวปลาไว้ก่อนเลย ปลาดิ้นพราดๆๆ เลย ตัวนี้ ๕๐๐ เพราะอะไร เพราะมันตายแล้ว ถ้าเป็นๆ นี่บาทเดียว
นี่ไง เพราะเราไปโฆษณาไง เราไปอวดเขา เราถือศีลทำไมต้องให้คนยอมรับล่ะ เราทำของเราก็ได้ เราทำของเราก็ได้ เราไปตลาด ถ้าปลามันเป็นๆ เราไม่ฆ่าสัตว์ เราไปกินหมูกินหมาก็ได้ กินสิ่งต่างๆ ที่เขาฆ่าไว้แล้วก็ได้ เพราะอะไร เพราะเป็นอาชีพเขา
เราจะบอกว่า สัมมาอาชีวะๆ เวลาคนเขาบอก บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน เวลากิเลสมันคลุกมันเคล้าไปทั้งนั้นน่ะ มันทำให้พวกเราปิดประตูให้เราออกไปไม่ได้เลย เราทำมา ทำเพื่อเรา เราทำเพื่อเรา ทำของเรา ถ้าเราทำเพื่อเรา ทำของเรา ถ้าเราไม่สงสัย พอเราทำแล้ว ความสะอาดผ่องแผ้วในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่ไง หยดน้ำบนใบบัว ว่าเลยนะ สะอาดบริสุทธิ์ หยดน้ำบนใบบัว
ถ้าหยดน้ำบนใบบัวมันมาจากไหนล่ะ ถ้าหยดน้ำบนใบบัว ความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ติดแม้แต่ใบบัวนั้น จิตใจของเรา จิตใจของเราถ้าได้ฝึกหัด ได้พัฒนาของเราขึ้นมา พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาที่ใจของคน
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ไม่ใช่เอากระชอนมากวาดไปหรอก ไม่ใช่เอาอวนลากไปเลย ไอ้นั่นมันปลา เขาทำประมง เขาไปทำอาหาร
มัคคะ มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ความปกติของใจ คนที่มีหลักมีเกณฑ์ คนที่เป็นสุภาพบุรุษ คนที่เป็นปัญญาชนเขานิ่งๆ เขามีปัญญาของเขา นี่ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจของคน รื้อสัตว์ขนสัตว์หัวใจที่มันทุกข์มันยากนี่ ถ้าหัวใจมันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากที่ไหนล่ะ
เวลาถือศีล ถือศีลก็ศีล ๕ ท่องกันนะ ท่องกัน เดี๋ยวนี้เขาอัดเทปไว้แจก เวลาท่องกัน ท่องมันก็เป็นกิริยาคำท่องเท่านั้นน่ะ จิตใจถือศีลนะ เดี๋ยวคืนนี้มันจะไปทำอะไรของมัน ถือศีล มันวางแผนในใจแล้ว ถือศีล ศีลอย่างนั้นหรือ
ถ้าถือศีลมันเป็นความปกติของใจ ถ้าใจเป็นปกติขึ้นมาแล้วนะ เป็นปกติแล้ว เพราะคำว่า “ปกติ” มันไม่ลำเอียง มันไม่แกว่งใช่ไหม พอไม่แกว่ง เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะทำของเราได้ แต่คิดดูสิ จิตใจเราเต้นตูมตามๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตใจมันคิดไปร้อยแปด แล้วบอกพุทโธก็ไม่ได้ๆ
อ้าว! จะทำความดีนี่แหม! ทุกคนต้องมาคะยั้นคะยอ มาพะเน้าพะนอหรือ เวลาเอ็งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เอ็งเกิด ใครไปเกิดกับเอ็งล่ะ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของเราใช่ไหม ถ้าเป็นเวรกรรมของเรา นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านทำของท่านมา ท่านทำคุณงามความดีของท่าน คนทำคุณงามความดีมาจนคุณงามความดีกับใจเป็นอันเดียวกัน เห็นสิ่งใด เห็นเขาทำร้ายกัน เห็นเขาเอารัดเอาเปรียบกัน เห็นแล้วมันเศร้า มันเศร้า เพราะอะไร เพราะมันทำไม่ได้ อย่าว่าแต่เราทำเลย เห็นเขาทำก็เศร้านะ ทำไมมันรังแกกันอย่างนั้นน่ะ ทำไมมันเบียดเบียนกันอย่างนั้น ทำไมไม่เห็นคนอื่นเป็นคนล่ะ นี่คิดมันยังคิดไม่ได้เลย แล้วจะไปทำอย่างไร
สิ่งนี้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในหัวใจ หัวใจของพระโพธิสัตว์ หัวใจของคนที่มีคุณธรรม แต่ถ้าเป็นหัวใจโจร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์ มนุษย์เดรัจฉาน มนุษย์เปรต มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา มันเป็นที่ไหนล่ะ มันเป็นในหัวใจไง หัวใจขณะนี้เป็นเทวดา หัวใจขณะนี้เป็นผู้ปกป้องดูแลเขา หัวใจตอนนี้เป็นผู้รุกรานเขา เบียดเบียนเขา นี่มนุษย์สัตว์ อย่างกับสัตว์เดรัจฉานเลย ทำลายเขา มนุษย์สัตว์
ถ้ามันเป็นไปได้ เราติเตียนเรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนมีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ มารมันจะครอบงำไม่ได้ มารที่มันมายุมาแหย่ มันมาพลิกมาแพลงในหัวใจของเรา ว่ามันคิดสิ่งใดแล้วไม่มีใครรู้ใครเห็นกับเราไง เราคิดสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราไง ทำสิ่งใดแล้วเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ทำไปๆ นะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำนั้นกรรมทั้งนั้น
ถ้ากรรมดีๆ สิ่งที่ทำดี กรรมดี คนที่เป็นสุภาพบุรุษ คนที่คิดดีทำดีเขาสร้างแต่คุณงามความดีของเขา เขาสะสมบารมีของเขา ถ้าสะสมบารมีของเขา เทวดาคุ้มครอง ครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ในป่าในเขา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตสงบ เทวดาคุ้มครองเลย เพราะเทวดาเขาอยากได้บุญด้วยไง
แต่เทวดาเขาไม่อยากเข้าใกล้พวกเรา ยกแขนขึ้นดมสิ กลิ่นคาวของมนุษย์เหม็นมาก กลิ่นคาวของมนุษย์ไง เขาไม่เข้ามาใกล้เลย แต่กลิ่นในธรรมของครูบาอาจารย์ของเราที่ใจเป็นธรรมๆ แล้ว ทำไมเทวดาปรารถนาล่ะ นี่เขาปรารถนาในหัวใจอันนั้นไง สิ่งที่เป็นคุณธรรมอันนั้น สิ่งที่สัจธรรมอันนั้นไง นี่ถ้าทำดีๆ ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ไม่ใช่ธรรมะเอาไว้ในตู้พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป พระสงฆ์ก็คือพระนั่นน่ะ ไอ้เรื่องของเราสบาย ทำอะไรก็ได้
พระพุทธศาสนา ถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาแล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ให้มันเป็นสมบัติของเราไง อริยทรัพย์ๆ ไง ทรัพย์ที่มีคุณค่าขึ้นมา แก้วแหวนเงินทองเขาซื้อขายแลกเปลี่ยนในท้องตลาด
บุญกุศลของเรา สิ่งที่บุญกุศลข้ามภพข้ามชาติ เทวดา อินทร์ พรหมไปจากไหน ก็ไปจากคุณงามความดีของเรานี่แหละ ไปจากบุญกุศล เห็นไหม เทวดาไม่มีตลาด มันเป็นทิพย์สมบัติๆ วิญญาณาหาร อาหารของเทวดา
คำว่า “วิญญาณ” วิญญาณในขันธ์ ๕ จิต เพราะจิตนี้เป็นพื้นฐาน แต่วิญญาณ วิญญาณาหาร นั่นน่ะอาหารของเขา อาหารของเขาก็เกิดจากการกระทำของเรานี่ไง ใครทำคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน มันมาจากไหน มาจากใจของคน
คนที่ทำ เราคิดว่าเราทำจากมือนะ แต่ความจริงเจตนาในหัวใจนั้นมันปฏิสนธิจิต ความคิดเกิดจากจิต มโนกรรม มโนกรรมมันเกิดจากที่นั่น พอเกิดจากที่นั่น ใครสะสมได้มากน้อยแค่ไหน บุญกุศลมันจะมากน้อยแตกต่างกัน ฉะนั้น เทวดา เวลาไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว ทรัพย์สมบัติของเทวดาถึงได้แตกต่างกัน แตกต่างกันเพราะคนเรามันทำให้เหมือนกัน ทำให้เท่ากัน มันไม่มี นี่ไง วิญญาณาหารๆ ทิพย์สมบัติๆ ไง ทิพย์สมบัติของภพของเทวดาไง
แต่ในปัจจุบันนี้เป็นภพของมนุษย์ไง มนุษย์มีกายกับใจๆ สิ่งนี้เป็นคุณค่าในสติปัฏฐาน ๔ ในอริยสัจ ในอริยสัจเพราะอะไร เทวดาเขาอิจฉานะ อิจฉาว่ามนุษย์มีร่างกาย เพราะร่างกายขาดอาหารมันตาย เวลาขาดอาหาร ขาดน้ำ ขาดต่างๆ มันจะมีความทุกข์บีบคั้น เพราะความทุกข์บีบคั้น ตรงนี้แหละที่ว่าเขาอิจฉา อิจฉาตรงนี้แหละ อิจฉา ให้เห็นว่าทุกข์มันเตือนตลอด อริยสัจแสดงตัวตลอดเวลาไง แล้วถ้าใครมีสติมีปัญญามันจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ไง ถ้าใครมีสติมีปัญญา เห็นไหม
นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ถูกต้องชัดๆ เลย ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ทุกข์ทั้งนั้นเลย นี่ไง แต่ของเรานะ รัฐบาลบริหาร สาธารณูปโภคเพื่อความสะดวก มีเบี้ยคนจน มีเบี้ยผู้ชราภาพ ไอ้นี่เป็นการบริหารนะ แต่เรามองถึงสิทธิของเรา มองถึงบุญกรรมของเรา มองถึงหัวใจของเรา แล้วพิจารณาของเราเข้ามา นี่ไง ที่ว่าเทวดา อินทร์ พรหมเขาอิจฉามนุษย์ อิจฉาตรงนี้ อิจฉาที่ว่าทุกข์มันแจ้งๆ ทุกข์มันแสดงตัวตลอด ทุกข์มันเตือนตลอด เตือนให้คนเห็นภัย เหมือนไฟอยู่บนหัว ถ้าไฟอยู่บนหัวใคร มันจะปัดไฟบนหัวนั้นทิ้ง
นี่ก็เหมือนกัน ทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์ประจำหัวใจ ทุกข์ประจำจิต มันมีอยู่กับเรา เทวดา อินทร์ พรหมเขาอิจฉานะ อิจฉาเพราะอะไร เพราะมันมีธรรมเตือน คอยเตือนพวกเราให้ตื่นตัว ให้ตื่นตัวไง
แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารื้อค้น รื้อค้นขึ้นมาจนเป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เวลาเขาถามประจำ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง วัตถุมันแปรสภาพ ทุกอย่างในโลกนี้มันแปรสภาพ ไม่มีสิ่งใดคงที่ มันจะแปรสภาพของมัน นี่เป็นอนิจจัง แล้วอนัตตาเป็นอย่างไรล่ะ อนัตตา
อนัตตานะ พระไตรลักษณะ เวลาอนัตตาหมายถึงว่า มันเป็นนามธรรมอยู่แล้ว สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าถ้าเป็นอนิจจังนี่เข้าใจได้ ถ้าเป็นอนัตตา มันเป็นอนัตตาได้อย่างไรล่ะ เพราะเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา แล้วใครมันจะไปรู้ล่ะ แล้วคนที่จะทำมันอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วทำขึ้นมาแล้วเป็นอนัตตาๆ มันอนัตตาอย่างไร อนัตตาในตำราล่ะมั้ง...นี่มันภาวนาไม่เป็น
ถ้ามันภาวนาเป็นขึ้นมา ดูสิ เราค้นหาหัวใจของเรา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้ว เวลาจิตสงบ เวลาจิตมันคลายออกจากสมาธิมา มันก็จิตอันเดียวกันนั่นแหละ จิตหยาบๆ ของเรา จิตที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามันสงบระงับ มันวางขันธ์ ๕ วางอารมณ์ทั้งหมด จิตที่เป็นสัมมาสมาธิไม่พาดพิงอารมณ์ คือไม่มีอารมณ์ แต่รู้อยู่ ไม่มีอารมณ์ สิ่งที่เป็นอารมณ์ว่างๆ ว่างๆ โกหกทั้งนั้น
พอมันมีหลักมีฐานของมัน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วถ้าพิจารณาไป ถ้ามันแปรสภาพ นี่ไง หลวงตาเวลาท่านเห็นกายของท่าน ท่านพิจารณาจนละลายหมดเลย มันคืนสู่สถานะเดิมหมดนะ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ มันไปของมันหมดเลย เหลือแต่กระดูก เหลือแต่สิ่งที่มันคมแข็ง กระดูกนั่นน่ะ ท่านนึกถึงว่าให้กระดูกนี้กลายสภาพเป็นดิน ดินกลบพับ! นี่ไง อำนาจของมรรค อำนาจของญาณ มันเกิดที่ไหนล่ะ
ยานก็ยานอวกาศไง ยานอวกาศก็ส่งไปนอกโลกไง แต่กำลังของจิตล่ะ สิ่งที่เป็นปัญญาญาณมาจากไหน แล้วมันมาจากไหนล่ะ มันมาจากจิต มาจากจิตที่สงบแล้ว เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุ มีที่มา ต้องมีการกระทำ ไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้า
ทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง แล้วเราต้องทำขึ้นมาให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในใจของเรา ให้เป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา แล้วเราจับต้องของเรา เราพิจารณาของเรา นี่ไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง
จิตใจของเรามันนอนจมปลักอยู่กับความโลภ ความโกรธ ความหลง หมักหมมอยู่อย่างนั้น มีแต่ทุกข์แต่ยาก เวลามีการกระทำ ทำให้มันผ่องแผ้ว ให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา หยดน้ำบนใบบัว ไม่ติดอะไรทั้งสิ้น แต่มันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราต้องทำเต็มที่ของเรานะ เราทำของเราขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา
นี่วันหยุด ก่อนที่จะถึงวันหยุด ๔ วัน ๕ วัน เราก็จะไปชาร์จแบต ชาร์จแบตขึ้นมา ให้มันเป็นประเด็นขึ้นมาในใจ คือให้มันฉุกคิด สำนึกให้มันมีอยู่ในใจเรา กลับบ้านไปยังมีสิ่งใดให้ไปคิดต่อ ฟังธรรมๆ เป็นเรื่องแสนยาก ฟังแล้วนะ อย่าเชื่อ หลวงพ่อพูดอย่างนั้นจริงหรือเปล่าวะ หลวงพ่อโกหกทุกวันเลย กลับไปคิดที่บ้าน พิจารณาที่บ้าน แล้วถ้าคิดได้ กลับมาเลย ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลชีวิต การถกธรรม การถกถึงวิธีการหาทางออกเป็นมงคลชีวิต เป็นมงคลของเรา
นี่ไง ฟังแล้วอย่าเชื่อ กลับไปคิด นี่ไง มันได้ประโยชน์ตรงนี้ ได้ประโยชน์ตรงเราฝึกหัดปัญญา ฝึกหัดให้เราได้ฉุกคิด ฝึกหัดให้เรามั่นคง ฝึกหัดให้เราได้คิด มันจะพัฒนาขึ้น หัวใจจะเข้มแข็งขึ้น ไม่เป็นเหยื่อของสังคม ไม่เป็นเหยื่อของโลก ไม่เป็นเหยื่อของคนที่จะมาแสวงหาผลประโยชน์ไง
เวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นไปแล้วนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาประพฤติปฏิบัติไปเป็นสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน รู้จำเพาะหัวใจนั้น รู้แล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบริษัท ๔ บริษัท ๔ เลยนะ ผู้ที่พึ่งพาอาศัยมหาศาล เพราะอะไร คนประพฤติปฏิบัติไปแล้วมืดแปดด้าน มรรค ๘ มืด ๘ ด้าน หาทางออกไม่ได้ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านกระเสือกกระสนผ่านไปแล้ว โอ้โฮ! มีประสบการณ์ทั้งนั้นน่ะ เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าทำได้จริง
เพียงแต่ว่าเราไม่มีบาทฐานไง ไม่มีพื้นฐานที่จะรองรับ ไม่มีพื้นฐานที่จะฟังเรื่องอย่างนี้ ไม่มีพื้นฐานจะฟังเรื่องธรรม ไม่มีพื้นฐานที่จะรู้จริง ไม่มีพื้นฐาน เอวัง